ในการทำ SEO บนเสิร์ชเอนจินอย่าง Google เจ้าของเว็บไซต์และแบรนด์ต่างต้องคอยติดตามอัปเดต Google Algorithms หรือที่เรียกว่า “Core Update” อย่างสม่ำเสมอ เพราะอัปเดตนั้นๆ อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์นั่นเอง แล้วใน Core update เดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา ทาง Google ก็ได้กล่าวถึงนโยบาย Site Reputation Abuse (SRA) ซึ่งได้มีการเริ่มใช้งานจริงเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2024 อาจส่งผลกระทบต่อ Ranking ของหลายเว็บไซต์ หรือถูก De-Index (ดีอินเด็กซ์) จากหน้าค้นหาเลยทีเดียว แล้ว Site Reputation Abuse คืออะไร สำคัญต่อการทำ SEO มากแค่ไหน
ในบทความนี้ Relevant Audience จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ Site Reputation Abuse ให้กระจ่าง เพื่อที่เจ้าของเว็บไซต์ ธุรกิจ และแบรนด์จะได้ Optimize เว็บไซต์ให้มีคุณภาพมากที่สุด
Site Reputation Abuse คืออะไร
Site Reputation Abuse คือ การที่เจ้าของเว็บไซต์ (First-Party) อนุญาตให้บุคคลที่สาม (Third-Party) เผยแพร่หรือ Publish เนื้อหาบนเว็บไซต์ของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และการรับรู้ชื่อแบรนด์ของตนเอง ทั้งนี้ เนื้อหาดังกล่าวอาจไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ ดังนั้น Google จึงมองว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่าต่อ User และมองว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็น “สแปม” (Spam) นั่นเอง
โดย Google ได้ระบุความหมายของ Site Reputation Abuse เอาไว้ดังนี้:
“Site reputation abuse is when third-party pages are published with little or no first-party oversight or involvement, where the purpose is to manipulate search rankings by taking advantage of the first-party site’s ranking signals. Such third-party pages include sponsored, advertising, partner, or other third-party pages that are typically independent of a host site’s main purpose or produced without close oversight or involvement of the host site, and provide little to no value to users.”
Site Reputation Abuse = การขี่หลังเพื่อไต่อันดับ
หลายคนอาจจะสับสนกับความหมายของ Site Reputation Abuse บ้างเล็กน้อย ดังนั้น เราขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยให้จินตนาการง่ายๆ ว่า เว็บไซต์ First-Party นั้นกำลัง “ขี่หลัง” เว็บไซต์ Third-Party ที่กำลังวิ่งแข่งขันเพื่อไต่อันดับ Ranking โดยอาศัยชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ (Domain Authority) ของเว็บไซต์นั้นๆ โดยที่เจ้าของเว็บไซต์ไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำนั้น หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า “SEO Piggybacking” ก็ได้
นอกจากนี้ เว็บไซต์ Third-Party ที่ตกเป็นเป้าหมายการถูก SEO Piggyback มักเป็นเว็บไซต์ของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เว็บไซต์ข่าวสาร รวมถึงเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ลงเนื้อหา Sponsored Content ซึ่งมีการ Tie-in สินค้าหรือโปรโมชันการตลาด เป็นต้น
3 รูปแบบ Site Reputation Abuse ที่พบได้บ่อย
พอรู้กันไปเบื้องต้นแล้วว่า Site Reputation Abuse คืออะไร อีกหนึ่งคำถามสำคัญคือ SRA มีรูปแบบใดบ้างเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งนี้ SRA ที่เกิดขึ้นมักมีรูปแบบดังนี้
1. Fake Review
Fake Review หรือรีวิวปลอม เป็นรูปแบบหนึ่งของการละเมิดชื่อเสียงของเว็บไซต์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ โดยเจ้าของเว็บไซต์อาจโพสต์รีวิวปลอมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตัวเอง เพื่อให้ดูน่าสนใจสำหรับ User ที่เข้ามาในเว็บไซต์ ซึ่งโดยมีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงผู้บริโภคให้เข้าใจผิดว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการดีกว่าความเป็นจริง
2. Ranking Manipulation
Ranking Manipulation หรือการ “ปั่น” อันดับเว็บไซต์เป็นรูปแบบ SRA ที่พบเห็นได้บ่อยๆ โดยล้วนเป็นเทคนิคที่ Black Hat SEO (SEO สายดำ) ใช้กัน ที่มุ่งเน้นการเอาชนะอัลกอริทึมการจัดอันดับโดยไม่ทำตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่ Google กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Keyword Stuffing หรือการยัดเยียดคีย์เวิร์ดเดิมๆ ซ้ำๆ ในเนื้อหา ใส่ Low-Quality Backlink ที่เป็นลิงก์ไม่มีคุณภาพ หรือทำ Link Scheme ต่างๆ ซึ่งสามารถทำให้ติดอันดับการค้นหาบนหน้าแรกในระยะเวลาสั้นๆ ได้จริง แต่หากอัลกอริทึมของ Google ค้นพบ ทั้งเว็บไซต์ First-Party และ Third-Party (ที่เป็นคนปั่นอันดับ) ถูกลดอันดับลงหรือถูกลงโทษจาก Google โดยการนำออกจากผลการค้นหาไปเลยทีเดียว
3. Spamming
อีกรูปแบบหนึ่งของ Site Reputation Abuse คือ สแปม (Spam) ซึ่งอาจมีรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น การส่งอีเมลหรือข้อความเพื่อพยายามโปรโมตเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์ของ Third-Party โดยแฝงชื่อเป็นเว็บไซต์ First-Party ซึ่งผิดกฎหมาย และอาจส่งผลให้เจ้าของเว็บไซต์ถูกปรับหรือถูกดำเนินคดีอีกด้วย
แน่นอนว่าหลังจากมีการเผยแพร่เนื้อหา Third-Party แล้ว เว็บเพจของบุคคลที่สามนั้นๆ ย่อมได้ประโยชน์จาก Domain Authority (DA) หรือคะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บ First-Party ทำให้มีอันดับสูงขึ้นในที่สุด
ผลกระทบของ Site Reputation Abuse
ผลกระทบจาก Site Reputation Abuse นั้นสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมาก ทั้งต่อเจ้าของเว็บไซต์เอง รวมไปถึง User ที่ใช้งานเสิร์ชเอนจิน ดังนี้
ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน (User)
- ได้รับข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด – Site Reputation Abuse อาจนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจาก Third-Party เป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือน หรือไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ซึ่งอาจทำให้ User เข้าใจผิด
- ความไว้วางใจลดลง – User อาจสูญเสียความเชื่อใจเว็บไซต์นั้นๆ หากพบเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีคุณภาพต่ำซ้ำๆ ซึ่งถือเป็นการทำลายประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้งาน
- เสี่ยงต่อเนื้อหาที่เป็นอันตราย – ในบางกรณี Third-Party Content อาจมีการโปรโมทเนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น สแกม (Scam) หรือมัลแวร์ (Malware) ซึ่งเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ใช้งาน
ผลกระทบต่อเจ้าของเว็บไซต์ (Website Owner)
- การสูญเสีย Ranking และ Traffiic – Google อาจทำการลงโทษเว็บไซต์ที่มีเนื้อหา Site Reputation Abuse โดยการลดอันดับของเว็บไซต์ ส่งผลให้ User เข้ามาน้อยลง ลดโอกาสในการปิดการขายหรือโปรโมตแบรนด์และสินค้า
- ชื่อเสียงเสียหาย – แน่นอนว่าเว็บไซต์ที่ถูก SRA จะได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เนื่องจากผู้ใช้อาจมองว่าไซต์ไม่น่าเชื่อถือหรือเป็นสแปม
- ผลทางกฎหมาย – ในบางกรณี เจ้าของเว็บไซต์อาจต้องเผชิญการดำเนินคดีทางกฎหมาย เนื่องจากการโฮสต์หรือโปรโมตเนื้อหาที่เป็นอันตรายผ่านเว็บไซต์ แม้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งการเสียค่าปรับไปจนถึงการถูกฟ้องร้องเลยทีเดียว
- กู้คืนชื่อเสียงของเว็บไซต์ได้ยาก – การกู้คืนชื่อเสียงและอันดับ Ranking ของเว็บไซต์จากการถูกลงโทษโดย Google นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายและใช้เวลาอย่างมาก รวมไปถึงต้องมีการวางมาตรการในการจัดการเนื้อหา SRA พร้อมปรับปรุงคุณภาพโดยรวมของเว็บไซต์ จึงจะสร้างความไว้วางใจแก่ Google และผู้ใช้งานได้อีกครั้ง
รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์ของเรากำลังถูก Abuse
Site Reputation Abuse นั้นเป็นการกระทำที่ตรวจสอบได้ยาก ทั้งนี้ ปัจจุบันมี Tool และเทคนิคที่สามารถช่วยมอนิเตอร์ชื่อเสียงของเว็บไซต์ได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลักคือ Monitoring Tool และ User Behavior Analysis
1. Monitoring Tool
วิธีหนึ่งในการตรวจจับการใช้ชื่อเสียงของเว็บไซต์ในทางที่ผิดคือการใช้ “เครื่องมือตรวจสอบ” ที่สามารถช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ติดตามและตรวจสอบ Suspicious Activity หรือพฤติกรรมอันน่าสงสัยของเว็บได้ ยกตัวอย่าง Tools ที่ได้รับความนิยม เช่น
- Google Search Console – เครื่องมือจาก Google ที่บริษัทรับทำ SEO และ Web Developer รู้จักกันดี ที่ช่วยให้คนทำเว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูล ตรวจสอบคุณภาพ และข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด
- Google Analytics – อีกหนึ่ง Tool จาก Google ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลสถิติของเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้วางกลยุทธ์ในการทำการตลาด ซึ่งยังช่วยติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ รวมถึงการลดลงของ Traffic แบบกระทันหัน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบอกถึง SRA
- Moz Pro – เป็นเครื่องมือสำหรับสาย SEO ที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ติดตามการจัดอันดับเว็บไซต์ และช่วยให้ปรับปรุงเนื้อหาได้อย่างตรงจุด รวมถึงติดตาม Backlink ของเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ค้นหาลิงก์ที่เข้าข่าย Site Reputation Abuse ได้ด้วย
2. User Behavior Analysis
อีกหนึ่งวิธีตรวจสอบ Site Reputation Abuse คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ โดยการติดตามพฤติกรรม เพื่อระบุการกระทำที่น่าสงสัยหรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เป็นผลจาก Third-Party Content โดยตัวชี้วัด (Metrics) ที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานได้มี ดังนี้
- Bounce Rate – ตัวชี้วัดที่บอกอัตราของผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์เพียงหน้าเดียวแล้วกดออก โดยมีการคลิกที่ปุ่มหรือมี Action ใดๆ เกิดขึ้น โดยหากมีอัตรา Bounce Rate ที่สูงผิดปกติอาจบ่งชี้ว่า ผู้ใช้ไม่พบสิ่งที่กำลังค้นหาในเว็บไซต์ของคุณ หรือพูดง่ายๆ ว่าเนื้อหา (ที่อาจมาจาก Third-Party) ไม่ตรงกับ Search Intent อย่างการมีโฆษณา Pop-up ขึ้นมาบดบังเนื้อหาหลัก หรือต้องทำการกดสมัครสมาชิกก่อน ถึงจะอ่านบทความบนเว็บไซต์ได้ เป็นต้น
- Time On Site – ระยะเวลาเฉลี่ยของแต่ละ Session ที่ผู้ใช้งานเปิดเข้ามาดูเนื้อหาในเว็บไซต์ หาก Time On Site โดยเฉลี่ยบนไซต์ลดลงอย่างกะทันหัน อาจพูดได้เป็นนัยๆ ว่า ผู้ใช้งานมองว่าเนื้อหาไม่น่าสนใจ หรือเป็นเนื้อหา Low-Quality Content ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์
- Conversion Rate – ตัวชี้วัดที่บอกเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานที่เข้าชมเว็บไซต์และเกิด Action ตามที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการ เช่น สั่งซื้อสินค้า สมัครสมาชิก กรอกแบบฟอร์ม หรือการกระทำอื่นๆ ที่ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ หากตรวจสอบแล้วพบว่าอัตราการ Conversion Rate เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ ผู้ใช้งานไม่ไว้ใจในการทำสิ่งใดๆ บนเว็บไซต์ ซึ่งอาจเกิดจากกดลิงก์ที่ถูกแทรกอยู่ในเว็บไซต์ Third-Party เช่น ลิงก์ไปยังเว็บพนัน ลิงก์สแปม เป็นต้น
ป้องกัน Site Reputation Abuse ได้อย่างไร
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า Site Reputation Abuse นั้นเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ในวงกว้าง โดยอัปเดตจากทาง Google ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (Google Update May 6, 2024) ได้มีการประกาศว่า ทาง Google ได้เริ่มต่อกรกับ SRA เบื้องต้นด้วย Manual Action หรือให้เจ้าหน้าที่ Google เข้ามารีวิวเว็บไซต์เพื่อค้นหาสแปมและ De-Index ออกจากผลการค้นหา
อย่างไรก็ตาม เจ้าของเว็บไซต์ควรวางมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกัน Site Reputation Abuse รักษาอันดับเว็บไซต์และชื่อเสียงที่มีต่อกลุ่มผู้ใช้งาน
การกำหนดนโยบายที่ชัดเจน
สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เว็บไซต์สามารถทำเพื่อป้องกัน Site Reputation Abuse คือ การกำหนดนโยบาย (Policy) ที่ชัดเจนสำหรับการเผยแพร่เนื้อหาบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น Guideline สำหรับการสร้างเนื้อหา การมีส่วนร่วม และอื่นๆ โดยการระบุอย่างชัดเจนว่าอะไรที่ยอมรับได้และอะไรที่ไม่ควรทำ เพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่เหมาะสมไม่ให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่านโยบายของเว็บไซต์นั้นง่ายต่อการค้นหา แนะนำให้ลองสร้างหน้าแยกต่างหากบนเว็บไซต์ เพื่อระบุนโยบายโดยละเอียด ซึ่งทั้ง Thrid-Party และ User สามารถเข้าถึงได้ง่าย
วางมาตรการรักษาความปลอดภัย
อีกหนึ่งวิธีที่ป้องกัน Site Reputation Abuse คือ การวางมาตรการรักษาความปลอดภัยบนเว็บไซต์ จากการแฮ็ก เนื้อหาสแปม และอื่นๆ อาจจะเริ่มต้นโดยการใช้ Web Application Firewall (WAF) เพื่อป้องกันเว็บไซต์จากการโจมตีของแฮ็กเกอร์ หรือ Content Delivery Network (CDN) เพื่อช่วยป้องกันเว็บไซต์จากการโจมตีเซิร์ฟเวอร์แบบ DDoS Attack เป็นต้น
นอกจากมาตรการเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือ การตรวจสอบเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อหาสัญญาณของ Site Reputation Abuse ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ และหากสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจาก Third-Party ก็ให้ดำเนินการทันที เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
บทสรุป
Site Reputation Abuse (SRA) อาจเป็นคำศัพท์ใหม่สำหรับหลายคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการเว็บไซต์หรือเพิ่งเริ่มทำ SEO ทั้งนี้ ควรคำนึงไว้เสมอว่า SRA นั้นเป็นการใช้ชื่อเสียงของเว็บไซต์ในทางที่ผิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานและเจ้าของเว็บไซต์อย่างมาก ดังนั้น การทำความเข้าใจและคอยเฝ้าระวังเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยการใช้เครื่องมือตรวจสอบ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน และวางมาตรการป้องกันอย่างรัดกุม ก็จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปกป้องชื่อเสียงของตนเอง และมอบประสบการณ์ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และให้ข้อมูลที่ตรงตามความต้องการแก่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
เกี่ยวกับ Relevant Audience
พวกเรา Relevant Audience คือ Digital Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Digital Agency ที่มีบริการด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเวลา สถานที่ และบนอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place, Right Device)
บริการของเราครอบคลุมทั้งบริการทำ SEO, Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads ไปจนถึง Influencer Marketing และเรายังเป็น SEO Company ที่เป็น Google Partners อีกด้วย โดยทีมของเราล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com