หนึ่งในปัญหาของเหล่านักการตลาดดิจิทัล คือ การเสียงบประมาณไปกับแคมเปญโฆษณาบน Google Ads เกินความจำเป็น โดยวิธีพื้นฐานที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การทำ PPC Audit หรือการตรวจสอบ PPC
ในบทความนี้ Relevant Audience จะพามารู้จักกับการทำ PPC Audit ที่จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดงบโฆษณาบน Google Ads ได้มากกว่าเดิม
โฆษณา PPC คืออะไร?
ก่อนอื่นขอพาทุกท่านไปรู้จักกับ PPC หรือ Pay-Per-Click ซึ่งเป็นรูปแบบการโฆษณาบน Google Ads ที่ระบบจะเรียกเก็บค่าโฆษณาต่อการคลิกเข้าชมแต่ละครั้ง
รู้จักการทำ PPC Audit
การทำ PPC Audit คือ การตรวจสอบแคมเปญโฆษณา PPC ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดดิจิทัลพบข้อบกพร่องของแคมเปญ และนำมาปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และกำไรจากการลงทุน (ROI หรือ Return of Investment) โดยการทำ PPC Audit มีขั้นตอนดังนี้
1. ตรวจสอบการใช้ Conversion Tracking
Conversion Tracking คือ การใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อติดตามผลลัพธ์ของการทำแคมเปญโฆษณา โดยบางครั้งมีการทำ Conversion Tracking ซ้ำซ้อนมากเกินไป ซึ่งทำให้ผลรวมของ Conversion ทั้งหมดมากเกินความจริง และทำให้การคำนวณ ROI ผิดพลาด
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่นักการตลาดกำหนดเป้าหมาย Conversion Tracking ผิด และกรณีที่ทำ Conversion Tracking น้อยเกินไป ซึ่งมีผลต่อการคำนวณ ROI
2. ตรวจสอบงบ CPC และ CPA
หลายกรณีที่นักการตลาดพยายามลดงบ CPC (Cost-Per-Click) หรือต้นทุนต่อการคลิก และ CPA (Cost-Per-Acquisition) หรือต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้ามากเกินไป ส่งผลให้คุณภาพของแคมเปญโฆษณาไม่ดีเท่าที่ควร และทำให้ ROI ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยการรักษาสมดุล ROI ของแคมเปญโฆษณาที่ดี คือ การควบคุมงบ CPC และ CPA ให้อยู่ในระดับเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
3. ประสบการณ์หลังคลิกของผู้ใช้งาน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม Conversion และ ROI คือ ประสบการณ์หลังคลิกโฆษณาของผู้ใช้งาน เพราะไม่ว่าการตั้งค่าแคมเปญ หรือการเลือกใช้คีย์เวิร์ดจะมีคุณภาพเพียงใด แต่หากผู้ใช้งานที่คลิกโฆษณาไม่ได้รับประสบการณ์ที่ดี โอกาสเกิด Conversion จะลดลง และกระทบต่อ ROI ในที่สุด
ยกตัวอย่างการปรับปรุงประสบการณ์หลังคลิกโฆษณา เช่น ใช้ลิงก์นำทางไปยังหน้าสินค้าหรือบริการที่ตรงกับบนแคมเปญโฆษณา (Landing-page) และทำให้การโหลด Landing-page รวดเร็วขึ้น
4. ตรวจสอบการประมูลคำค้นหา
ธุรกิจจะเสียงบโฆษณาอย่างสูญเปล่า หากมีการประมูลคำค้นหา (Search Term) ที่ไม่ตรงกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านซาลอน แต่ประมูลคำค้นหาว่า “วิกผม”
5. ลดการใช้ฟีเจอร์ Enhanced CPC
Enhanced CPC เป็นฟีเจอร์ตั้งค่าประมูลคำค้นหาอัตโนมัติ ซึ่งในหลายกรณีทำให้ธุรกิจเสียงบการประมูลสูงเกินความเป็นจริง ดังนั้นเหล่านักการตลาดจึงควรควบคุมการประมูลคำค้นหาด้วยตนเองเป็นหลัก และเลือกใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวเฉพาะแคมเปญที่เหมาะสมเท่านั้น
6. เพิ่มการใช้ฟีเจอร์ Ad Extensions
ฟีเจอร์ Ad Extensions หรือส่วนขยายโฆษณา คือ ฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับแคมเปญโฆษณา โดยนักการตลาดสามารถใช้ฟีเจอร์นี้สำหรับระบุรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับโฆษณาได้ เช่น ระยะเวลาโปรโมชั่น สถานที่ตั้งหน้าร้าน ของแถม และบริการเสริมอื่นๆ
7. ทบทวนกลุ่มเป้าหมาย
ความสนใจ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประจำ ดังนั้นนักการตลาดจึงควรทบทวนคุณภาพของกลุ่มเป้าหมายสำหรับแต่ละแคมเปญโฆษณาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนการเข้าถึงให้เหมาะสมกับธุรกิจ
การทำแคมเปญโฆษณาบน Google เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่หลายธุรกิจให้ความสนใจ ซึ่งการทำ PPC Audit เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสร้าง ROI จากแคมเปญโฆษณาบน Google ได้อย่างน่าพึงพอใจ
เกี่ยวกับ Relevant Audience
พวกเรา Relevant Audience คือ Digital Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Digital Agency ที่มีบริการด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเวลา สถานที่ และบนอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place, Right Device)
บริการของเราครอบคลุมทั้งบริการทำ SEO, Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads ไปจนถึง Influencer Marketing และเรายังเป็น SEO Company ที่เป็น Google Partners อีกด้วย โดยทีมของเราล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาทำการตลาดออนไลน์
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com