สรุป 5 แนวโน้ม Google Ads Trends ที่นักการตลาดต้องรู้

July 2, 2024Published By: Relevant Audience

นักการตลาดทั้งหลายคงทราบกันดีว่าแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Google มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอัลกอริทึมโฆษณา Google Ads หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อโฆษณา Google Display ซึ่งเรียกได้ว่ามีการอัปเดตและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการวางกลยุทธ์การทำแคมเปญ และภาพรวมของ Digital Marketing

รู้แบบนี้แล้ว เรามาดู 5 เทรนด์ใหญ่ Google Ads มาแรงในปี 2024 ที่น่าจับตามอง และวิธีที่เราจะปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ทัน!

1. AI จะมีบทบาทใน Google Ads มากขึ้น

Google กำลังพัฒนาฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Machine Learing มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำโฆษณา Paid Search campaign ในหลายด้าน เช่น

การทำ Smart Bidding ที่ซับซ้อนขึ้น: AI จะช่วยปรับราคา Bidding แบบเรียลไทม์ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมผู้ใช้ เวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่ใช้งาน
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำขึ้น: AI จะวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาลเพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อโฆษณาของเรามากที่สุด
การสร้างโฆษณากึ่งอัตโนมัติ (Semi-Autonomous Ad Creation): AI จะช่วยสร้างข้อความโฆษณา รูปภาพ และแม้แต่วิดีโอ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป
การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics): AI จะช่วยทำนายแนวโน้มและพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต ช่วยให้เราปรับกลยุทธ์ได้ล่วงหน้า และเดินหน้าเแคมเปญต่อได้แบบลื่นไหลมากขึ้น

แน่นอนว่าด้วยความสามารถของ AI ที่ทาง Google ลงทุนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การทำแคมเปญง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักการตลาดเองก็ควรศึกษาและทดลองใช้ฟีเจอร์ AI ต่างๆ ไว้ก่อนทำแคมเปญจริง และต้องไม่ลืมตรวจสอบและปรับแต่งผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2. การใช้ Automation และ Smart Bidding จะแพร่หลายยิ่งกว่าเดิม

อย่างที่กล่าวไปในข้อแรกความสามารถของ AI ในปี 2024 นี้กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ ธุรกิจย่อมสนใจในการใช้ระบบ Automation เพื่อให้การทำแคมเปญรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Smart Bidding หรือ “กลยุทธ์การประมูลอัจฉริยะ” เช่น Target CPA Bidding และ ROAS Bidding จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยใช้ AI ในการปรับแต่งแคมเปญ ซึ่งระบบเหล่านี้จะช่วยให้นักโฆษณา:

ประหยัดเวลาในการปรับแต่งแคมเปญด้วยตนเอง
ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ปรับเปลี่ยนงบประมาณระหว่างแคมเปญต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3. การใช้ Broad Match จะเป็นที่นิยมมากขึ้น

Google กำลังส่งเสริมให้นักการตลาดหันมาใช้ฟีเจอร์ Broad Match มากขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ AI ในการเรียนรู้และปรับแต่งแคมเปญเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งเราป้อนข้อมูลมากเท่าไหร่ การทำ Broad Match ยิ่งมีประสิทธิภาพมาเท่านั้น ทั้งช่วยในการลดเวลาในการจัดการคีย์เวิร์ด พร้อมช่วยให้แคมเปญเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นักการตลาดหลายคนก็มีข้อกังวลว่า Broad Match อาจทำให้งบประมาณหมดเร็วขึ้นหากไม่ควบคุมดีพอ หรืออาจได้ CTR ที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือเป็น Low-quality Lead ดังนั้น เราควรเริ่มทดลองใช้ Broad Match ร่วมกับการตั้งค่า Negative Keywords อย่างระมัดระวัง และติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Broad Match)

4. Video Ads จะเติบโตมากยิ่งขึ้น

มีการคาดการณ์ว่าการทำโฆษณาวิดีโอ (Video Advertising) จะเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบวิดีโอสั้น (Short-form) ราว 15 – 30 วินาที เช่น TikTok, Meta’s Reels ซึ่งทาง Google ก็มี YouTube Shorts ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยเราสามารถทำ Ad placements บน YouTUbe Shorts ได้ แต่ทั้งนี้ TikTok และ IG Stories ก็ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูง จึงอาจทำให้การแข่งขันด้าน Video Ads ยิ่งสูงขึ้นไปอีก โดย Google ก็มีแนวโน้มที่จะนำ AI มาใช้ในการสร้างและปรับแต่งเนื้อหาวิดีโออีกด้วย ดังนั้น แนะนำให้ลองทดสอบประสิทธิภาพบน YouTube Shorts หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ และเปรียบเทียบดูว่าแพลตฟอร์มไหนที่ใช่ที่สุดสำหรับแคมเปญนั้นๆ

5. Search Ads จะให้ประสบการณ์ที่เป็น “ภาพ” มากขึ้น

แต่เดิมโฆษณา Google Search Ads เป็นการทำ Matching คำค้นหา (Search Terms) ของแคมเปญกับคำค้นหาที่ผู้ใช้งานมักใช้กัน จึงจะมีการแสดงผลโฆษณา เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำนั้นๆ ทั้งนี้ กระแสหนึ่งของ Search Ads ระบุว่ามีแนวโน้มที่การค้นหาจะให้ประสบการณ์ที่เป็นภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนักการตลาดก็สามารถใส่รูปภาพในโฆษณาการค้นหาได้แล้ว ละคาดว่าจะพัฒนาไปอีกมากในปี 2024 เช่น

อาจมีโฆษณาที่แสดงผลผลิตภัณฑ์แบบ 360 องศา
อาจมีการผสมผสานเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ในผลการค้นหาในไม่ช้า
อาจมีการแสดงวิดีโอสั้นๆ ที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา

แนวโน้มอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

แม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีและกระแสใหม่เกิดขึ้นมากมายในปี 2024 แล้วก็ตาม แต่ Google ก็ยังไม่หยุดแค่นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก ซึ่งอาจมาถึงภายในปีนี้ หรือปีต่อๆ ไปก็เป็นได้

การผสมผสาน Augmented Reality (AR) – AR อาจถูกนำมาใช้ในโฆษณาค้นหา เช่น การลองสินค้าเสมือนจริงผ่านกล้องสมาร์ทโฟน
โฆษณาแบบ Dynamic Image Ads – โฆษณาที่เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมหรือความชอบของผู้ใช้ เช่น แสดงสีหรือสไตล์ของสินค้าที่แตกต่างกันตามประวัติการท่องเว็บ
โฆษณาแบบโต้ตอบ (Interative Ads) – โฆษณาที่ผู้ใช้สามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ เช่น เกมสั้นๆ หรือแบบทดสอบที่นำไปสู่คำแนะนำสินค้าที่เหมาะสม เป็นต้น
โฆษณาที่ทำงานด้วยเสียง (Voice-Activated Ads) – เมื่อการค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search เติบโตขึ้น โฆษณาที่ทำงานด้วยเสียงอาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะผู้ใช้งานอาจโต้ตอบกับโฆษณาผ่านคำสั่งเสียงมากขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจติดตาม Google Trend อย่างใกล้ชิด อาจจะเห็นได้แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การทำ โฆษณา Google Ads ของมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นนักการตลาดทุกคนอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบทำ Ads ใหม่ๆ มากขึ้น การแสดงผลที่เป็นภาพและมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น อีกทั้งควรติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก Google อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้แหล่งข่าวของ Google เช่น Google Ads Blog หรือ Think with Google เพื่อรับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและฟีเจอร์ใหม่ๆ พร้อมทำการทดลองอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคใหม่ของการทำโฆษณาออนไลน์เลยก็ว่าได้

เกี่ยวกับ Relevant Audience

พวกเรา Relevant Audience คือ Digital Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Digital Agency ที่มีบริการด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเวลา สถานที่ และบนอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place, Right Device)

บริการของเราครอบคลุมทั้งบริการทำ SEO, Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads ไปจนถึง Influencer Marketing และเรายังเป็น SEO Company ที่เป็น Google Partners อีกด้วย โดยทีมของเราล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจ