มีหลากหลายวิธีในการทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม หนึ่งในนั้นคือการทำ “Image Optimization” หรือการปรับแต่งรูปภาพที่อยู่บนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ เผื่อใครที่ยังไม่ทราบ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ในหน้าเว็บไซต์นั้นรูปภาพเป็นส่วนที่กินพื้นที่ถึง 50% นั่นหมายความว่าหากเว็บไซต์มีรูปภาพที่ใหญ่เกินความจำเป็น หรือมีความละเอียดของรูปภาพที่ซับซ้อนจนเกินไป อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ลดลง และเมื่อการทำงานของเว็บไซต์ช้าลงผลก็คือจะเพิ่มความหงุดหงิดให้กับผู้ใช้งานและอัลกอริทึมของกูเกิลด้วยเช่นกัน
สำหรับในบทความนี้มีเคล็ดลับ 6 ข้อที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรูปภาพสำหรับเว็บไซต์ E-Commerce รับประกันว่าอ่านจบภายใน 5 นาทีแล้วสามารถทำตามได้ทันที
1. รู้จัก Cumulative Layout Shift (CLS)
ก่อนจะเริ่มต้นปรับแต่งรูปภาพ อย่างแรกต้องมาทำความรู้จักกับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้เว็บไซต์ถูกนำไปจัดอันดับดีหรือแย่บน Google Search กัน หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่คนทำ SEO ทุกคนต้องรู้จักคือ Culmulative Layout Shift ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยทั้ง 4 ด้านที่ถูกเรียกรวมกันว่า Core Web Vitals ที่เป็นเกณฑ์การจัดอันดับล่าสุดที่กูเกิลอัปเดตเข้ามา โดยจะมีเกณฑ์การคำนวณที่แตกต่างกันออกไป ใครที่อยากให้เว็บไซต์อยู่บนหน้าแรกก็ต้องทำตามเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ (รู้จัก Core Web Vital เพิ่มเติมจากบทความนี้)
สำหรับ CLS จะเป็นการดูความหน่วงของการเคลื่อนไหวบนเว็บไซต์ หรือที่หลายคนมักเรียกกันว่า ”เว็บกระตุก” โดยมีมาตรฐานที่กูเกิลกำหนดเอาไว้ว่าหากมีการขยับของภาพหรือตัวอักษรเท่าไหร่จะทำให้ระบบมองว่าต้องปรับปรุง ข้อแนะนำคือควรตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ด้วย Google PageSpeed Insights เพื่อที่จะดูว่าหน้าเว็บไซต์ของเราตอนนี้มีภาพไหนที่ควรปรับปรุงบ้าง
2. ปรับขนาดรูปภาพให้ถูกต้อง
อย่างที่บอกว่าขนาดของรูปภาพมีความสำคัญในแง่ของการประเมินภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์เพื่อนำไปจัดอันดับ เนื่องจากขนาดภาพที่ใหญ่เกินไปจะทำให้ระยะเวลาในการโหลดบนหน้าเว็บไซต์นานขึ้น และมีโอกาสที่จะทำให้ผู้ใช้งานเกิดอาการหน้าเว็บค้าง กระตุก โหลดไม่ขึ้น ยิ่งในปัจจุบันผู้ใช้งานทั่วไปนิยมใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นหลัก หากหน้าเว็บไซต์มีระยะเวลาการโหลดที่นานเกิน 5 วินาที ก็เตรียมรับแรงกระแทกจากผลลัพธ์แย่ๆ ได้เลย
ดังนั้นอาจเริ่มต้นด้วยการดูความเหมาะสมของขนาดความกว้างและความสูงของรูปภาพ เพราะการเริ่มจากปรับขนาดของรูปภาพให้ถูกต้องจะช่วยลดการกินทรัพยากรส่วนเกินบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างมหาศาล จากนั้นเมื่อได้ลองปรับรูปภาพแล้วแนะนำว่าควรใช้ Plug-Ins สำหรับการรายงานวัดผลความเร็วของเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น
- Google PageSpeed Insights
- WebPageTest
- Pingdom
- GTmetrix
หลายเว็บไซต์มักตกม้าตายกับเรื่องพื้นฐานแบบนี้กันเยอะมาก ถ้าไม่อยากให้เว็บไซต์ของคุณเป็นหนึ่งในนั้น อย่าลืมที่จะเริ่มต้นด้วยการปรับขนาดรูปภาพให้ถูกต้องและเหมาะสมตามสถานการณ์ต่างๆ
3. เลือกใช้ Image Format ที่เหมาะสม
“รูปนี้เห็นชัดดี ลูกค้าจะต้องชอบแน่นอน ใช้ไฟล์นี้เลยก็แล้วกัน…” ใครที่มีความคิดแบบนี้แนะนำว่าให้หยุดความคิดไว้ ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป เพราะนอกจากขนาดของรูปภาพจะส่งผลต่อการทำงานของเว็บไซต์แล้ว รูปแบบไฟล์ก็ส่งผลเช่นกัน ดังนั้นการเลือกรูปแบบไฟล์ให้เหมาะสมจึงต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพราะแต่ละรูปแบบไฟล์ก็มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องชั่งน้ำหนักก่อนเลือกใช้เสมอ ตัวอย่างเช่น ไฟล์รูปภาพอย่างของ JPEG หรือ WebP แม้ว่าจะมีความคมชัดของรูปภาพที่ไม่สูงมากแต่ก็มีขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะสำหรับการใช้งานบนเว็บไซต์ E-Commerce เพราะรูปแบบ JPEG โดยทั่วไปถือว่าให้ภาพที่มีคุณภาพในระดับที่ดี มีขนาดภาพที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อขยายภาพแล้วอาจจะทำให้ดีเทลของรูปภาพเสียไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ และยังเพิ่มความได้เปรียบให้กับการโหลดหน้าเว็บได้ไวมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานหลายฉบับที่บอกตรงกันว่า เว็บไซต์ E-Commerce มากกว่า 72% นิยมใช้ไฟล์รูปภาพ JPEG มากกว่าสกุลไฟล์ชนิดอื่น
4. บีบอัดรูปภาพอย่างเหมาะสม
ปรับขนาดรูปภาพที่เหมาะสมและเลือกใช้รูปแบบไฟล์อย่างถูกต้องแล้ว ก็น่าจะพอแล้วใช่หรือเปล่า? หากคิดแบบนี้ก็เตรียมตัวเสียใจได้เลย เพราะอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กันคือการบีบอัดรูปภาพให้มีความเหมาะสมที่สุด อย่างที่บอกไปว่าขนาดไฟล์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ฉะนั้นหากจะมีวิธีไหนก็ตามในโลกใบนี้ที่จะมาช่วยย่อขนาดไฟล์และยังคงรักษาคุณภาพของรูปภาพนั้นไว้ได้ ถ้าจะต้องดั้นด้นไปถึงสุดขอบโลกก็ต้องทำ!
โชคดีเหลือเกินที่โลกทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จึงง่ายเหมือนกับสั่งของผ่านแอปฯ บนโทรศัพท์มือถือ ด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่ถูกพัฒนาเพื่อการบีบอัดย่อขนาดของรูปภาพ ที่จะยังคงรักษาความละเอียด (Resolution) ของรูปภาพเอาไว้ ในบทความนี้จึงรวบรวมเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้การบีบอัดไฟล์รูปภาพง่ายขึ้น มีดังนี้
- Affinity Photo
- Pixlr (เน้นไฟล์รูปภาพ JPEG)
- ImageOptim (ใช้ได้กับระบบปฏิบัติการ Mac เท่านั้น)
- ImageCompressor
- EWWW Image Optimizer
- TinyPNG
- OptimusImage Optimizer
5. Unique Photo
ใครที่เป็นสายคอนเทนต์คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า Original Content = SEO RANKING เพราะระบบอัลกอริทึมของกูเกิลในการนำข้อมูลเว็บไซต์ไปจัดอันดับไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ เช่นเดียวกับรูปภาพ การที่เว็บไซต์เลือกใช้รูปภาพที่มีความยูนีคและแตกต่าง จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการใช้รูปภาพที่มีโอกาสเหมือนกับคนอื่น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเลือกใช้รูปภาพจากเว็บไซต์ Stock Photo ต่างๆ จะเป็นเรื่องต้องห้ามเสมอไป แต่หากอยากให้เว็บไซต์มีอันดับ SEO ที่ดีการเลือกใช้ Original Photo ก็ย่อมส่งผลบวกต่ออันดับ SEO มากกว่า อย่างไรก็ตามหากการหาภาพ Original Photo สำหรับเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถ ข้อแนะนำคือลองเลือกรูปภาพในเว็บไซต์ Stock Photo สัก 2 ถึง 3 รูปภาพ แล้วนำมาตัดต่อให้กลายเป็นภาพใหม่ วิธีนี้กูเกิลก็จะพิจารณาว่าเป็นภาพ Original Photo เช่นกัน
6. จัดวางรูปภาพอย่างเป็นระบบ
กูเกิลได้อัปเดต Image Guidelines ออกมาให้สำหรับ SEO Specialist ที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google Search โดยมีข้อแนะนำที่น่าสนใจคือ ในการจัดวางโครงสร้างของรูปภาพควรมี File Path และ File Name ที่ชัดเจน เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ระบบของกูเกิลสามารถนำข้อมูลไปประเมินเพื่อจัดอันดับได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเว็บไซต์ E-Commerce การใส่ชื่อรูปภาพของสินค้าโดยรวมทุกประเภทด้วยกัน เป็นเรื่องที่ควรระวังเพราะจะทำให้กูเกิลประเมินข้อมูลเหล่านี้ยาก แต่หากมีการจัดหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ เช่น การตั้งชื่อหมวด ให้ตรงตามประเภทสินค้าอย่างผ้าฝ้าย, ผ้าคอตตอน 100, กางเกงขายาว ก็จะทำให้ระบบของกูเกิลสามารถนำข้อมูลไปประเมินการจัดอันดับได้ง่ายมากขึ้น
ท้ายที่สุดการปรับแต่งรูปภาพ (Image Optimization) บนเว็บไซต์เพื่อผลลัพธ์ทาง SEO ยังมีวิธีการอีกหลายอย่าง แต่ 6 วิธีข้างต้นนี้ เป็นเรื่องพื้นฐานเบื้องต้นที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ หากใครที่อ่านจบแล้วแนะนำว่าให้ลองเริ่มต้นทำดูก่อนสักข้อสองข้อ หากอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของกูเกิลเชื่อว่าไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com