ในการแข่งขันการตลาดออนไลน์ปฏิเสธไม่ได้ว่าเว็บไซต์เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุด ด้วยบทบาทหน้าที่ที่มีความสำคัญในกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจเกือบทุกประเภท ตั้งแต่บริษัทระดับโลกไปจนถึงบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่มีการดำเนินงานเพียงคนเดียว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ เว็บไซต์เปรียบได้กับพื้นที่ที่รองรับผู้คนที่หลากหลายให้เข้ามาเลือกหยิบจับสิ่งที่ต้องการ ในขณะเดียวกันก็คอยโน้มน้าวด้วยการเสนอข้อมูล ผลิตภัณฑ์ หรืออะไรก็ตามที่กระตุ้นต่อมความอยากได้อยากมีของผู้คนทั่วไป จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่กลุ่มธุรกิจทุกระดับ ต่างลงทุนเม็ดเงินมหาศาลไปกับการทำเว็บไซต์ อย่างไรก็ตามการลงทุนที่สูงย่อมไม่ได้หมายความว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอไป
เริ่มต้นด้วยข้อมูล
ในการประเมินว่าควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงส่วนใดของเว็บไซต์ ไม่ใช่ว่าจะเลือกปรับเปลี่ยนตามใจได้ทันที เพราะหากอยากให้เว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นย่อมต้องมีข้อมูลที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นในการคอยกำหนดทิศทาง
หลายคนอาจคุ้นเคยกับการตรวจสอบข้อมูลอินไซด์ของเว็บไซต์ตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่จริงแล้วข้อมูลเว็บไซต์เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์เป็น E-Commerce ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Shopify ก็เป็นเรื่องง่ายในการตรวจสอบข้อมูลเพราะตัวแพลตฟอร์มมีการติดตั้งเครื่องมือที่ช่วยประเมินเรื่อง Data-Analytics มาให้อยู่แล้ว หรือหากเป็นการสร้างเว็บไซต์บน WordPress ก็อาจมีความยุ่งยากเพิ่มเติมสักเล็กน้อย คือจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Analytics เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ
องค์ประกอบที่เพิ่มเข้าไปจะทำให้ยอด Engagement ลดลงหรือเปล่า? หรือหากย้ายองค์ประกอบนี้ออกไปจะทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ดีขึ้นหรือไม่? ตัวอย่างเช่น หากพบว่า Contact Form บนเว็บไซต์ไม่สามารถสร้างฟีดแบ็กที่ดีให้กับเว็บไซต์ได้ การตัดสินใจนำ Contact Form ออกจากเว็บไซต์ทันทีคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ในกรณีนี้อาจต้องนำข้อมูลอื่นๆ มาประกอบการตัดสินใจร่วม อาจมีการออกแบบใหม่หรือปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางใหม่จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แน่นอนว่าการประเมินข้อมูลพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์จะช่วยให้เห็นว่าองค์ประกอบใดบนหน้าเว็บไซต์ได้รับฟีดแบ็กที่ดี ทีนี้เมื่อมีข้อมูลที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบเว็บไซต์แล้ว ก็จะทำให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ได้ทันที ในบทความนี้ Relevant Audience จะพาไปสำรวจองค์ประกอบ 4 อย่างบนเว็บไซต์ที่ควรถูกพิจารณาใหม่หากอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
1.ป๊อปอัป หน้าเว็บไซต์
ป๊อปอัป เป็นหนึ่งในเรื่องถกเถียงของคนทำเว็บไซต์ทั่วโลก ตามทฤษฎี ป๊อปอัปเป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นความสนใจและคอยผลักดันข้อความสำคัญต่างๆ ต่อผู้เข้าชม แต่ในความเป็นจริงผู้คนส่วนมากมีความรู้สึกว่าป๊อปอัปคอยที่จะขัดขวางและนำไปสู่ความน่าอึดอัดเวลาอยู่บนเว็บไซต์
จากสถิติการประเมินป๊อปอัปมากกว่า 1.5 ล้าน รายการ จากอัตราสูงสุด 10% พบว่ามีป๊อปอัปเพียงไม่กี่ตัวที่มีอัตรา Conversion Rate ที่สูงถึง 9.3% ในขณะที่ป๊อปอัปส่วนใหญ่มีอัตรา Conversion Rate เพียง 3.1% จากการศึกษาโดย SUMO พบว่า มี 3 เกณฑ์ที่ต้องทำหากอยากใช้ป๊อปอัปบนเว็บไซต์
- ป๊อปอัปจะต้องช่วยส่งเสริมการกระทำที่เป็นประโยชน์หรือมีคุณค่าที่สูงต่อธุรกิจ
- ป๊อปอัปจะต้องมีค่า Conversion Rate ที่สูง
- ป๊อปอัปต้องไม่สร้างผลกระทบในด้านลบต่อเว็บไซต์ เช่น มีอัตรา Bounce Rate ที่สูงขึ้น
หากตรวจสอบข้อมูลหลังบ้านแล้วพบว่าป็อปอัปบนหน้าเว็บไซต์ในตอนนี้ไม่ตรงตามเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อแนะนำคือควรพิจารณานำป๊อปอัปออกจากเว็บไซต์ทันทีเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ให้ดีขึ้น
2.บล็อก
ในการสร้างบล็อกบนเว็บไซต์เป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ เพราะนอกเหนือจากบล็อกจะเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้ามารับชมเว็บไซต์และช่วยสื่อสารข้อความทางการตลาดต่างๆ ได้แล้ว บล็อกยังสามารถช่วยในเรื่องของการจัดอันดับ SEO ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากบล็อกไม่มีการโพสต์หรือเผยแพร่บทความอย่างเป็นประจำก็สามารถที่จะสร้างผลเสียให้กับเว็บไซต์ได้ เพราะการจัดอันดับ SEO จะมีการประเมินความเคลื่อนไหวและความสม่ำเสมอของเนื้อหาในบล็อกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหากบล็อกบนเว็บไซต์ของคุณไม่ได้มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ หรือข้อมูลหลังบ้านระบุว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่ได้มีฟีดแบ็กที่ดีกับบล็อกในตอนนี้ การปรับปรุงด้วยการเพิ่มความสม่ำเสมอในการลงคอนเทนต์ให้กับบล็อกอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.Contact Form
สำหรับเว็บไซต์ที่เป็น E-Commerce แน่นอนว่าการมี Contact Form เป็นสิ่งจำเป็นที่จะส่งผลโดยตรงต่อผู้ที่เข้ามารับชมเว็บไซต์ อย่างไรก็ตามหากเลือกใช้ Contact Form ที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้เว็บไซต์ดูรก สร้างความขัดหูขัดตา และจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ในระยะยาว
ข้อแนะนำคือใช้ข้อมูลหลังบ้านในการประเมินว่ามี Contact Form แบบใดที่เหมาะสมที่สุดบนเว็บไซต์ หรืออาจจะทดลองใช้วิธีการติดต่อลูกค้าด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อผ่านอีเมล หรือการใช้ Direct Chat การพิจารณาเพื่อค้นหาวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับลูกค้าเป็นการปรับปรุงง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มความพอใจและยอดขายได้ดีที่สุด
4.Carousel ภาพเลื่อนยอดฮิต
ใครที่เข้าไปในเว็บไซต์แล้วเห็นภาพหน้าปกที่มีการเลื่อนไปเรื่อยๆ เราเรียกสิ่งนั้นว่า Carousel เป็นเครื่องมือยอดฮิตของคนทำเว็บไซต์ เพราะเป็นของตกแต่งสำเร็จรูปที่ติดตั้งง่าย สะดวก และมีความสวยงาม
แต่ในความเป็นจริงการใช้ภาพ Carousel จะเป็นการลดทอนข้อความสำคัญที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร งานวิจัยจาก University of Notre Dame ระบุว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์เพียง 1% เท่านั้นที่คลิกรูปภาพ Carousel และส่วนใหญ่มาจากการคลิกหน้าแรก แสดงให้เห็นว่ารูปภาพ Carousel ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการกระตุ้นการรับชมเว็บไซต์ จะดีกว่าไหมหากแบรนด์สื่อสารด้วยข้อความที่เรียบง่ายและมีความชัดเจนว่าต้องการนำเสนออะไร ข้อแนะนำคือหากหลีกเลี่ยงไปใช้ UI อย่างอื่นที่ไม่ใช่ Carousel ได้ แนะนำให้พิจารณาทางเลือกอื่นก่อนเสมอ
เว็บไซต์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญในการทดสอบบ่อยครั้งเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ นักการตลาดส่วนใหญ่มักใช้เวลาไปกับการคิดว่าจะเพิ่มเติมอะไรใหม่ๆ ให้กับเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มค่า Conversion ให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามข้อแนะนำที่ดีที่สุดคือการใช้เวลาไปกับการประเมินสิ่งที่มีอยู่แล้วบนเว็บไซต์และเลือกปรับเปลี่ยนในส่วนที่ควรปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เพียงเท่านี้เว็บไซต์ก็จะสามารถเป็นมิตรกับผู้เข้าชมได้มากขึ้นแน่นอน
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com